วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

PiZza de' J'pane เรียกซะหรูที่แท้ก็พิซซ่าญี่ปุ่นเอง

พอยท์ของเมนูนี้ไม่ใช่แป้งน่ะ แต่อยู่ที่ผักกะหล่าปลีนั่นเอง ถ้าใครชอบกุ้งปลาหมึกก็ใส่ได้ อร่อยมากขึ้นด้วย แต่ไม่ต้องเอาไปจี่กับกะทะ แต่ให้ผสมลงในที่มีแป้งกับเครื่องได้เลย


เมนูนี้ก็ไข่ม้วนผักขมนั่นเอง
ถ้าใครชอบชีส ก็ใส่ก่อนม้วนแล้วค่อยปิดไฟก็ได้ เดี๋ยวชีสก็ละลายกำลังดีเลยตอนกิน







วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

Home made Yogurt โยเกิร์ตทำเอง


ไม่ได้ต้องการโฆษณานมเมจิ จริงๆแล้วจะใช้นมอะไรก็ได้ แต่เราใช้แบบพร่องไขมัน มันจะทำให้โยเกิร์ตแข็งตัวมากกว่าที่ไม่มีไขมันเลย




อันนี้เป็นอันที่ทำไว้ก่อนหน้านี้แล้ว คราวนี้ก็จะตักจุลินทรีย์จากอันนี้ไปผสมใหม่เพื่อให้ได้โยเกิร์ตใหม่


ภาชนะต้องเข้าเวฟได้ และฝาต้องไม่สามารถปิดมิดชิด เพราะอากาศเข้าได้นิดหน่อยนั้นสำคัญต่อการเติบโตของจุลินทรีย์ ก่อนทำต้องเอาไปลวกผ่านน้ำร้อน ทั้งช้อนตักและภาชนะที่ใส่ เพื่อฆ่าแบคทีเรียที่ไม่ดีก่อน
ใส่นมประมาณค่อนกระป๋องพลาสติก แล้วเอาเข้าไมโครเวฟ เพื่อให้นมพออุ่น ประมาณ20 องศา



ตักโยเกิร์ตประมาณสามช้อนนี้ เอาลงไปผสมกับนมที่มีการอุ่นแล้ว




คนให้เข้ากันอย่างดี



ทิ้งไว้แปดถึงสิบชั่วโมง ในอุณหภูมิห้องปกติ


อุณหภูมิในประเทศเรา เหมาะกับทำโยเกิร์ตเพราะอุณหภูมิต้องไม่เย็นเกินไป หรือร้อนเกินไป ห้ามโดนแดด เราเคยทำตอนที่อยู่ญี่ปุ่น พอถึงหน้าหนาว โยเกิร์ตจะไม่ค่อยแข็งตัว ต้องเอาไปไว้ใกล้เครื่องทำความร้อน แต่มันก็ออกมาได้ไม่ดี เท่ากับตอนย้ายมาเมืองไทยเลย ร้อนทั้งปีอยู่แล้ว


อ้อ ลืมบอกไปแล้วโยเกิร์ตทำครั้งแรก ไปเอาเชื้อจุลินทรีย์มาจากไหน

คืออย่างงี้ค่ะ ค้นหาข้อมูลแล้วขอไปทางบริษัทที่เขามีเชื้อพวกนี้ เขาก็ให้มาฟรีๆเลยนะค่ะ แล้วมีข้อสันนิษฐาน(เอง)ว่า สงสัยเชื้อพวกนี้จะชอบเมืองไทย นี่ก็เกือบสี่ปีแล้วยังอยู่ลั้ลลา ใช้มาได้ถึงทุกวันนี้ ไม่ต้องพึ่งเครื่องทำโยเกิร์ต หรือซื้อตามซุบเปอร์เลย























Rice please !

ซี่โครงหมูอบจ้า

เอาซี่โครงแช่ไว้ประมาณหนึ่งวัน แล้วเอาน้ำซอสที่แช่แยกออกมาก่อนอบ
เอาซี่โครงไปย่าง หรือจี่ไฟ หรือจะเอาเข้าเตาอบแบบเราเลยก็ได้
สุดท้ายเอาน้ำซอสที่แยกออกมาไปตั้งไฟให้เดือด
ก่อนกินแค่เอาน้ำซอสไปราดร้อน ร้อน น้ำซอสทีเห็นนี้เอาไปราดบนข้าวสวยร้อนๆ อืมมมมม

ผักที่ใช้เป็นผักโขม หรือผักปวยเล้งก็ได้ แต่ปวยเล้งจะแพงกว่าเท่านึง แค่กินเป็นผักแกล้ม เราเลยเลือกผักโขม แช่แล้วล้างให้สะอาดก็เอาไปต้มในน้ำร้อนประมาณสามนาที โดยไม่เอาตรงก้านที่แข็งๆน่ะค่ะ พอต้มเสร็จรีบเอาไปจุ่มในน้ำเย็น ผักก็จะสีสวยสดเหมือนเดิม

เมนูนี้ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก บางคนอาจจะอบหมูไปพร้อมกับน้ำซอสเลยก็ได้ แต่สำหรับเราแล้วที่แยกน้ำซอสออกแล้วเอาไปทำให้เดือด เพื่อที่จะได้ปรับปรุงรสได้ หวานไปหรือเค็มไปก็ปรับเปลี่ยนตามรสชาติที่ชอบได้




ทำอาหารร่วมกันครั้งแรกในครอบครัว1st time we cook together

!!! ??? นี่หน่ะเหรอซูชิโรล เคยกินที่ร้านอาหาร สภาพไม่ใช่อย่างนี้หนิ
ก็เพราะว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เราสามสาว แต่ทำจริงๆ รู้สึกจะแค่สองสาวที่ใส่ใส้ แล้วม้วนๆ ๆ อีกคนมัวแต่ถ่ายภาพ
พี่สาวคนที่ร่วมกันทำ พอดีลูกๆ ชอบกินพวกนี้ เวลาทำเองอยู่ที่บ้านกับเด็ก ก็จะทำไปสนุกไปคือถ้ามีอะไรก็ใส่ๆไป ข้าวที่มีก็ใส่ๆ ไป ข้าวสวยหรือข้าวเหนียวก็ช่างมันเหอะ แต่
พอดีวันนั้น อยากทำเกี๊ยวซ่าให้แม่กับพี่ๆ กิน เลยเรียกมาแล้วก็ทำเจ้าซูชิโรลกันด้วย สงสัยพี่สาวจะติดกับตอนที่ทำที่บ้านกับพวกเด็ก มีอะไรใส่ๆ ไป มันเลยออกมาเป็นก้อนมหึมา
ที่ทำก็มีสามใส้ คือใส้ทูน่ามายองเนส ใส้แฮมแตงกวา ใส้ไก่เทริยากิ
ส่วนเกี๊ยวซ่านี้ ไม่รู้หน้าตาน่ากินหรือเปล่า แต่รสชาติไม่ต่างกับที่ร้านหรอก ความมันอาจจะต่างกันเพราะของเราไม่เอาหมูติดมัน
คือหน้าตาอาหารทั้งหมดนี้มันไม่ได้เลิสหรูอะไรน่ะ แต่เราว่าเป็นความประทับใจและสนุกมากกว่า ตั้งแต่โตมา แต่ล่ะคนก็อายุเกินเลขสามกันหมดแล้ว แต่ไม่เคยทำอะไรกินด้วยกันเลย
วันนั้นถึงจะเหนื่อย แต่สนุกดี


ประสบการณ์แย่ๆ บนรถเมล์

จริงๆแล้วไม่รู้จะตั้งชื่อเรื่องว่าอะไรดี เพราะมันคลุมเครือว่าประสบการณ์ที่ดิฉันเจอมานั้น มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ งั้นลองอ่านกันเลยแล้วช่วยตัดสินกันทีว่า ไอ้แบบเนี้ย มันควรจะถูกเรียกว่าเรื่องอะไร ระหว่าง
1. ใครให้เธอช่วย!
2. ช่วยไม่ได้ไม่ชินกับคำว่า"น้ำใจ"ในสังคมเรา

ภายในอาทิตย์เดียวกันเจอสองเรื่อง เลยเริ่มรู้สึกงงๆกับสังคมเราทุกวันนี้เหมือนกัน

เรื่องแรกน่ะ คือว่าเรานั่งรถเมล์เพื่อไปธุระ รถแอร์แบบรุ่นใหม่ ด้านหน้าๆ จะเป็นแบบนั่งเรียงกันได้ประมาณห้าคน เราก็ไปนั่งตรงนั้น ทีนี้ถึงประมาณครึ่งทางได้ มีแม่ลูก เด็กผู้หญิงอายุน่าจะประมาณ 5-6ขวบได้ แม่ก็ไม่น่าเกินสี่สิบ ขึ้นมาแต่ไม่ได้ยืนตรงหน้าเรา แต่เกาะเสาไว้ ไอ้เราเห็นก็เป็นห่วงเด็กว่าถ้ารถเบรค อาจจะล้มลงได้ เพราะที่จับไม่ถนัดเอาซะเลย ก็เลยสะกิดแม่เด็กแล้วลุกเพื่อให้เด็กนั่ง สายตาแม่เด็กเอง ก็ไม่ได้ยิ้มหรือพูดอะไรขอบคุณซักนิดก็ไม่มี อันนั้นมันยังไม่เท่าไหร่ ที่รู้สึกแย่กว่าก็คือ ตอนที่เราลุกให้เด็กนั่งเนี่ย รถมันเบรคพอดี เราก็ไม่มีที่จับ ถือถุงผ้าใส่หนังสืออีกมือนึงด้วย ก็แทบจะหน้าคว่ำน่ะค่ะ แต่แม่ของเด็กคนนั้นถ้าเอามือมาช่วยประคองเราไว้ จะไม่รู้สึกแย่อย่างนี้เลย เพราะเราห่วงลูกเขาเราเลยลุกให้นั่ง หน้าเราเกือบคว่ำ แม่เด็กเองไม่ได้มีน้ำใจอะไรเลย

เราจำได้ดี ตอนเด็กๆ ขึ้นรถเมล์กับแม่ ผู้ใหญ่จะลุกให้นั่งเสมอ แม่เราเองก็จะบอกว่าให้ขอบคุณแล้วไหว้ด้วย ซึ่งเราอาจจะคาดหวังในสิ่งนั้นเกินไป สังคมเราเปลี่ยนไปแล้ว หรือว่าขึ้นอยู่กับนิสัยมารยาททางสังคมของตัวบุคคลเอง ใครมีประสบการณ์ประมาณนี้บ้างค่ะ

อีกเรื่องนึง เราเห็นคนนั่งหลับแล้วมือถือกับเศษเหรียญเข้าตกลงมาที่พื้นรถเมล์ คนข้างหลังหรือข้างๆ เองต่างก็มองแต่ก็ไม่ได้ปลุกคนนั้นให้ตื่น เราก็เลยเอื้อมไปเรียก บอกว่าของของเขาตก
อีกแล้วครับท่าน พี่คนนั้นพอตื่นมาเก็บของที่ตกแล้วก็นั่งเงียบ สายตาไม่ได้มีบอกว่า ขอบคุณเลย นั่นก็โอเคเพราะเริ่มชิน แต่ที่โมโหขึ้นมาเพราะว่า มันยังมีเหรียญบาทตกอยู่เหรียญนึง ซึ่งเราก็ไม่เห็นหรอก แต่อยู่ดีๆ กระเป๋ารถก็ส่งมาให้เราแล้วถามว่า "ของพี่หรือเปล่า" เราก็บอกว่าไม่ใช่ คงเป็นของคนนั้น (ที่ทำของตก) กระเป๋ารถเมล์ก็เลยเรียกแล้วยื่นคืนให้ เสร็จแล้วก็พูดขึ้นมาว่า คนสมัยนี้ไม่มีน้ำใจรู้ว่าเงินเขาตก ก็ไม่ยอมเก็บให้ อ้าว....ทำไมถึงพูดอย่างนี้น่ะ

คือทั้งสองเรื่องนี้ ประเด็นไม่ใช่เรื่องว่าเราต้องการคำ ขอบคุณ เพราะเราว่ามันน้อยมากในสังคมเมืองทุกวันนี้ แต่อย่างน้อย รอยยิ้ม นิดนึง ที่เราว่ามันไม่น่าจะยากเกินไป

พอเราเจอสองเรื่องนี้เข้าภายในอาทิตย์เดียว เราตัดสินใจไม่นั่งรถเมล์อีกเลย ยอมเปลืองค่าน้ำมันรถน่ะดีแล้ว ดีกว่าเราต้องเสียความรู้สึกอะไรบ้าๆอย่างงี้

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

โอ๊ย...ภาษาญี่ปุ่นน่ะเหรอ ชิวชิว About Japanese language 1

มีนักเรียนหลายคนจะชอบถามคำถามนึงยอดฮิตตอนเริ่มเรียนกันใหม่ๆ ก็คือ "พี่ค่ะ หนูต้องเรียนไปถึงเมื่อไรถึงจะสื่อสารได้ค่ะ/ครับ" ก็มักจะตอบเหมือนเล่นๆ แต่แฝงความจริงไว้ว่า แต่ละคนไม่เหมือนกัน ถึงแม้รู้วันเดือนปีเกิดก็ยังเดา ยังดูไม่ได้หรอกว่าแต่ละคนจะพูดได้สื่อสารรู้เรื่องเมื่อไร ก็เพราะว่าทุกๆคนนั้น มีวิถีการดำเนินชีวิตไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะนักเรียน ผู้ใหญ่ แม่บ้าน อื่นๆ เพราะฉะนั้นเวลาในการอ่าน ทบทวนศึกษาเพิ่มเติมและความสนใจในแต่ละคนก็ย่อมไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นความเร็วความช้า ที่จะสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นแบบสื่อสารได้เลยนั้น ไม่มีใครสามารถตอบได้ "นอกจากตัวเอง" จริงๆแล้วก็ไม่ได้ตอบยาวขนาดนี้หรอกค่ะ เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทอง (สำหรับพวกน้องๆที่มาเรียนเค๊า) : )

ทำไมถึงบอกว่า นอกจากตัวเอง ที่จะสามารถตอบได้ ก็เพราะว่าคุณครูได้แค่สอน ไม่ได้ไปอยู่กินนอนด้วย ถึงจะสามารถเคี่ยวเข็ญ เอ้าอ่านนะค่ะ อ่านสิค่ะ อ่านเดี๋ยวนี้ ขนาดนอนแล้วก็ไปปลุกว่าท่องศัพท์หรือยังจ๊ะ ตื่นแล้วพูดทักว่าอะไรจำได้มั๊ย
ดังนั้นตัวคนเรียนเองนั่นแหล่ะค่ะ ที่สามารถกำหนดว่าตัวเองจะต้องพูดได้เมื่อไร ต้องมีเป้าหมาย บอกได้เลยว่าแม้ภาษาเองถ้าไม่มีเป้าหมายในการเรียน เรียนเพราะว่าง เรียนเพราะภาษาน่ารัก หรือเพราะชอบซีรีส์หนังญี่ปุ่น เรียนเพราะเทรนใหม่ อะไรทำนองนี้ล่ะก็ สุดท้ายก็จะกลายเป็น ศิษย์เก่าภาษาญี่ปุ่น แล้วเงินที่อุตส่าห์เรียนก็ถือว่าเป็นค่าประสบการณ์ไปซะอย่างนั้น หมายเหตุ ศิษย์เก่าตอนนี้เต็มแล้ว เลิกคิดเป็นกันได้แล้วนะค่ะ

ถ้าคุณมีเป้าหมาย รักในการเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ เวลาที่จะอ่านทบทวน ท่องศัพท์ มันก็จะมีเอง เพราะคุณเห็นว่าสำคัญ คุณก็จะสร้างหรือทำให้เวลามันมีขึ้นมา ทำอะไรน่ะหรือค่ะ สร้างเวลาที่เป็นปัจจัยสู่ความเป็นโปรด้านภาษาญี่ปุ่น
เอ๊ะ!! แล้วถ้าหนูเก่งแล้วเป็นโปรจนสอนภาษาได้ขึ้นมา ครูคงลำบากแย่ เพราะมีคู่แข่ง หนูห่วงตรงนี้ค่ะ
อ๋อ ... ครูอยากเห็นคนที่ครูสอน สามารถสอนคนอื่นได้เหมือนกัน
ครูค่ะ ว่าแต่ว่าวันนี้เรียนชั่วโมงเดียวนะค่ะ หนูเหนื่อยแล้ว


นอกเรื่องอีกแล้วค่ะ ขอกลับเข้าเรื่องเดิมดีกว่า
พูดมาถึงตรงนี้ ตกลงภาษาญี่ปุ่นมันยากหรือเปล่าเนี่ย เริ่มสงสัยกันแล้วใช่มั๊ยเอ่ย ก็ยากค่ะแต่มันยากที่ ใจ เท่านั้น นอกนั้นง่ายหมด เพราะฉะนั้น ทำใจก่อนเข้าเรียน นอกนั้นง่ายหมดค่ะ

ดิฉันเองไม่ใช่คนเก่ง เด็กแถวหน้า ขยันอะไรเลยน่ะ เพียงแต่รักในภาษา(และคน)ที่เราต้องการรู้ พอว่างเมื่อไร ก็ต้องอ่านเพิ่มอีก
เอ๋!! เริ่มอุทานเป็นสำเนียงญี่ปุ่น...... เป็นครูสอนแล้วต้องอ่านด้วยหรือค่ะ
ต้องสิค่ะ ตราบใดที่เรายังรู้ศัพท์ไม่เท่าคนประเทศเขา เราหยุดไม่ได้เลยน่ะ หยุดคือถอยทันที ในที่สุดก็ลงสมัครเป็น............. ศิษย์เก่า
เอ่อ คือว่า
ครูค่ะ ว่าแต่ว่าหนูอยากกินไอ้ที่เรียกว่า โอะโคโนมิยาขิ นะค่ะ มันคืออะไรหรือค่ะ

..................................

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

Something simply cooked อร่อยจากของเหลือๆ

เป็นคนที่เมื่อห้าปีก่อน ทำอาหารไม่เป็นเลย ขอย้ำว่าไม่เป็นเลย แต่ตอนเด็กๆ จำได้ว่าชอบดูเวลาแม่ทำกับข้าว ชอบเอาผักที่แม่เด็ดทิ้ง เอามาเล่นขายอาหารแบบเด็กๆ โตมาก็ไม่เคยทำอาหารกินเองเลย แม้กระทั่งทอดไข่

พอมีครอบครัว ก็เริ่มศึกษาลองทำดู กินได้บ้าง กินไม่ได้แต่ก็ยังมีคนยอมฝืนกิน แล้วยิ้มเฝื่อนๆ ทุกครั้ง ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก ยิ่งสนุกกับการทำ อาหารที่ทำก็เกิดจากความรัก ไม่ใช่ความ "จำเป็น" ต้องทำ ก็เลยรสชาติดีขึ้นเรื่อยๆ พอไปกินข้าวข้างนอกก็จะคอยสังเกตุรสชาติว่าจานนี้ทำมาจากอะไร การตกแต่งอาหารบ้าง มันก็เลยทำให้เรามีความคิดปรับเปลี่ยนอาหารเดิมๆ ได้ อาหารไม่จำเจ คนทำก็สนุก คนกินก็อร่อย


การทำอาหาร ถ้าไม่เกิดจากความชอบ รักในการทำ อยากให้คนที่กินเขาได้กินอร่อยๆ สะอาด เราว่าการทำอาหารที่ปราศจากปัจจัยเหล่านี้ จะอร่อยได้ยากน่ะ โดยเฉพาะความรัก และอารมณ์ดี
ช่วงอารมณ์ หรือฮอร์โมนเพศเปลี่ยนแปลง อาหารรสชาติจะไม่นิ่ง อันนี้เรื่องจริง ลองสังเกตุดูนะค่ะ
เลยเอาสภาพอาหารบางส่วน ที่ทำจากของที่มีในตู้เย็น และเวลาอยู่บ้านคนเดียว ก็จะเน้นแบบง่ายๆ แต่ต้องครบหมู่ โดยเฉพาะผัก กับเนื้อสัตว์


ซ้ายเป็นผัดวุ้นเส้นกิมจิกับไข่ ขวาคือฟักทองต้มโชยุ จานนี้ทำทีเดียวได้นกสองตัว คือกินได้สองครั้ง



บะหมี่แห้งคลุกน้ำพริกกุ้งตะไคร้ - บีบมะนาวลงไปยิ่งทำให้ความหอมของน้ำพริกเด่นขึ้น




วุ้นเส้นต้มมั่วค่ะ คือมีแฮมก็เอาแฮมมาใส่แทนเนื้อสัตว์ และเติมไข่ครึ่งสุก กับผักกวางตุ้ง ส่วนน้ำซุปทำมาจากน้ำซุปดะชิ ที่สกัดจากปลาแห้ง รสชาติเป็นไปได้กว่าที่คิด ดีกว่ากินมาม่าซะอีกนาาา



ข้าวปั้นต้มยำ
พอดีวันก่อนทำข้าวผัดต้มยำ แล้วเหลือวันต่อมาจะให้กินเหมือนเดิม คงไม่ไหว เลยเอาสาหร่ายญี่ปุ่นมาห่อ ได้รสชาติไปอีกแบบ



แซนด์วิชสตูว์

ถ้าใส่ผักกาดแก้ว กับมายองเพิ่มลงไป คล้าย มอสเบอร์เกอร์ มั๊ยค่ะ แต่อันนี้ มั่ว ค่ะ โดยการเอาสตูว์แบบญี่ปุ่นที่วันก่อนกินกับข้าวแล้วมันเหลือ (อีกแล้ว) มาประกอบคู่กับขนมปังและชีส โอ้ แม่จ้าว อร่อยเกินคาดแฮะ